ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Moringa oleifera Lam.
เป็นไม้ต้น ทรงพุ่มโปร่ง สูงถึง 15 เมตร
ใบ : มีใบประกอบแบบขนนกสองถึงสามชั้น ปลายคี่ ออกเวียนรอบกิ่ง ใบย่อยรูปรี ปลายมน ออกตรงข้ามกัน
ดอก : ช่อดอกออกที่ซอกใบปลายยอด ดอกสีเหลืองอ่อน มี 5 กลีบ ผลิบานในช่วงปลายฝนต้นหนาว
ผล : เป็นฝักทรงกระบอกเล็ก ปลายแหลม ยาวกว่า 50 ซม. ผิวนอกหยักเป็นร่องตามแนวยาวคล้ายไม้ตีกลอง เมื่อแก่มีสีน้ำตาล แตกตามร่อง
เมล็ด : ภายฝักมีเมล็ดจำนวนมาก แต่ละเมล็ดมีปีกสามปีกที่ช่วยแพร่พันธุ์
ชื่อวงศ์ : Moringaceae
ประโยชน์ : ยอดอ่อนและช่อดอกกินเป็นผักสด หรือนำมาต้ม ลวก จิ้มน้ำพริก ใส่ในแกงส้ม แกงเลียง มีรสขมเล็กน้อย ฝักอ่อนปอกเปลือก หั่นเป็นท่อนใส่ในแกงส้ม แกงลาวของชาวอีสาน หรือนำฝักอ่อนที่เมล็ดยังไม่แข็งมากินเป็นผักสดกับน้ำพริก ส้มตำ ลาบ ให้วิตามินซีสูง มีตลอดปี แต่มีมากช่วงฤดูหนาว ถ้าเป็นต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด หลังปลูก 2 – 3 เดือนรากจะขยายขนาดเป็นหัว ใช้ใส่ในแกงส้มได้ กล่าวกันว่ามะรุมมี 2 พันธุ์ คือ พันธุ์ข้าวเจ้าที่มีฝักผอมสั้น เนื้อน้อย เมล็ดใหญ่ และพันธุ์ข้าวเหนียว ฝักยาว อวบอ้วน เนื้อหนา เมล็ดเล็ก ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากกว่า
สรรพคุณทางสมุนไพร : รากแก้ปวดบวม บำรุงกำลัง เปลือกช่วยขับลม ทำให้เรอ หรือนำเปลือกต้นมาบุบให้แตกอมไว้ข้างแก้มเวลาดื่มสุราจะไม่รู้สึกเมา ใบแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอกเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ฝักแก้ไข้ เมล็ดสดเป็นยาแก้ปวดบวมตามข้อ น้ำมันจากเมล็ดสด (Behen Oil) ใช้ปรุงอาหาร ทำน้ำสลัด ทำเครื่องสำอาง น้ำหอม หรือใช้เป็นยาแก้ปวด และช่วยบำรุงหัวใจ
การขยายพันธุ์ : มะรุมปลูกเลี้ยงง่าย ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุ แสงแดดตลอดวัน นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือปักกิ่งชำ หลังปลูก 2 – 3 ปีก็จะให้ดอกผลได้
นิเวศวิทยา : กระจายพันธุ์ในเอเชีย แถบอินเดีย ศรีลังกา