ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่ออื่น : กานส์ คูน
ไม่ต้นผลัดใบ ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-15 เมตร เปลือกต้นสีเทาปนน้ำตาล เรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด
ใบ : ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 3-8 คู่ ใบย่อยรูปรี รูปไข่ รูปขอบขนานแกมรูปไข่หรือรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 4-7 ซม.
ดอก : ออกเป็นช่อรูปทรงกระบอกยาวห้อยลง เกิดตามกิ่งหรือปลายกิ่ง กลีบดอกสีเหลือง ออกเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน
ผล : เป็นฝักรูปทรงกระบอก ยาว 20-60 ซม. ฝักแก่สีดำ
คุณค่าทางภูมิสถาปัตยกรรม : เรือนยอดรูปไข่หรือรูปร่มคอนข้างทึบนิยมปลูกเป็นไม้ดับริมถนน หรือตามอาคาร ไม่ควรปลูกเป็นจำนวนมากในที่เดียวกันเพราะมักมีปัญหาเรื่องแมลงเจาะทำลายลำต้นและกิ่ง
ชื่อวงศ์ : Leguminosae – Caesalpinioideae
ประโยชน์ : เนื้อไม้ใช้ทำเสา สากตำข้าว เสาหลักเมือง เนื้อไม้และเปลือกให้น้ำใช้ฟอกหนัง เนื้อในฝัก ดอกและใบเป็นยาระบาย ยอดอ่อนและช่อดอกกินเป็นผักสดกับน้ำพริก แนมอาหารรสจัดต่าง ๆ ใส่ในแกงส้ม ใช้ทำส้มตำ ยำ ใส่ในไข่เจียว หรือผัดกับไข่ ยอดอ่อนมีรสฝาดมัน ดอกมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย อาจนำมาดองกินหรือเก็บดอกตากแห้งใช้ชงน้ำดื่มแก้กระหาย และเนื้อในฝักรสหวานกินเป็นอาหารได้
สรรพคุณทางสมุนไพร : รากใช้เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ แก้กลากเกลื้อนและแก้ไข้ เปลือกต้นมีสารแทนนินสูง ใช้แก้ท้องเสีย ช่วยสมานแผล แก้ไข้ และลดอาการปวดบวม ใบและดอกใช้เป็นยาระบาย แก้ฝีเม็ดผื่นคัน แก้ไข้ เนื้อในฝักใช้เป็นยาระบายได้เช่นกัน แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ฟกช้ำ และแก้กระษัย นอกจากนี้เปลือกต้น เนื้อไม้และผลยังใช้เป็นสีย้อม ให้สีเหลือง ส่วนเปลือกใช้ฟอกหนัง เนื้อไม้ใช้ทำเสา สากตำข้าว ล้อเกวียน คานเกวียน และคันไถ
ต้นไม้สัญลักษณ์ : พันธุ์ไม้ประจำชาติไทย และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การขยายพันธุ์ : ราชพฤกษ์ชอบดินร่วน ระบายน้ำดี มีแสงแดดตลอดวัน โตเร็ว ทนแล้งได้ดี แต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดประมาณ 2 ปี ต้นจึงเริ่มออกดอก ถ้าปลูกในพื้นที่ชุ่มชื้นตลอดปีจะไม่ค่อยออกดอก ควรระวังหนอนเจาะลำต้น อาจทำให้ต้นตายได้
นิเวศวิทยา : พบขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ เป็นพืชทนแล้ง ขึ้นได้ในดินทั่วไปที่ระบายน้ำได้ดี