ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :
Azadirachta indica Juss var. siamensis Valeton
ชื่ออื่น กะเดา จะตัง สะเดา สะเลียม สะเดาบ้าน
ไม้ยืนต้น ผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 12-15 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกของลำต้นสีน้ำตาลเทาปนดำ แตกสะเก็ดเป็นร่องเล็กๆตามแนวยาวของลำต้น ทุกส่วนมีรสขม สะเดาไทยแตกต่างจากสะเดาอินเดียตรงขนาดของใบ ซึ่งสะเดาไทยจะมีขนาดใบใหญ่กว่าสะเดาอินเดีย และมีเรือนพุ่มค่อนข้างกลม แต่สะเดาอินเดียกลับแตกกิ่งก้านสาขาเป็นจำนวนมากและรสขมกว่าสะเดาไทย
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่สีเขียวเข้ม ใบย่อยเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก
ดอก : ออกเป็นช่อ สีขาวที่ปลายกิ่ง มักผลิใบใหม่พร้อมออกดอก ทยอยบานพร้อมกันทั้งตัน ออกยอดและให้ดอกดกในช่วงฤดูหนาว
ผล : รูปกลมรีอวบน้ำ สีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเลหือง ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
วิธีการปลูกและดูแลรักษา : สะเดาเป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว ทนทาน ขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพ ตามพื้นที่ราบโล่ง ไม่ชอบน้ำท่วมขัง จึงนิยมปลูกกลางแจ้ง เพราะชอบแสงแดดจัดและทนแล้งได้ดีมาก ทั้งยังเป็นต้นไม้ที่ไม่มีแมลงมารบกวน
ชื่อวงศ์ : MELIACEAE
ประโยชน์ : ยอดอ่อนและดอกสะเดานิยมใช้รับประทานเป็นผัก โดยนำมาเผาไฟหรือลวกให้สุก กินกับน้ำพริกชนิดต่างๆ หรือน้ำปลาหวาน กินคู่กับปลาดุกย่างหรือกุ้งเผา ให้รสชาติขม แต่ให้คุณค่าทางอาหารสูง แคลเซียม และวิตามินต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนี้สะเดาเป็นไม้เนื้อแข็ง ทนทาน และไม่มีแมลง จึงนิยมนำมาใช้ในงานก่อสร้างที่รับน้ำหนักได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเพดาน ฝาเรือน เสา คาน เกวียน หรือหีบใส่ของ เป็นต้น
สรรพคุณทางสมุนไพร : ใบอ่อน ใช้รักษาโรคผิวหนัง น้ำเลหืองเสีย ใบแก่ นำมาต้มน้ำใส่เกลือหรือน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อให้รสขมจางลง ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ แก้ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย ก้าน ต้มน้ำกินแก้หวัด บำรุงน้ำดี แก้ร้อนใน ดอก แก้รีดสีดวง บำรุงธาตุ แก้พิษโลหิต คันในลำคอ ลูก บำรุงหัวใจ ช่วยให้เจริญอาหาร ฆ่าพยาธิ ปัสสาวะพิการ และแก้ริดสีดวง เปลือกต้น แก้บิด ท้องเดิน แก่น แก้ไข้จับสั่น ไข้ตัวร้อน ราก แก้เสมหะที่เกาะกันแน่นในทรวงอก ยาง ใช้ดับพิษร้อน เมล็ดและใบสะเดานำมาบดละเอียดใส่แอลกอฮอล์ลงไปให้ท่วม แช่ทิ้งไว้ค้างคืนแล้วนำน้ำที่ได้มากรองกับน้ำสบู่ ได้เป็นยาฆ่าแมลงฉีดพ่นพืชผักที่ให้ความปลอดภัยแก่มนุษย์และสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาต
ต้นไม้สัญลักษณ์ : สะเดาเป็นไม้ดั้งเดิมที่มีมานานแล้ว ไม่เฉพาะพบตามป่าเบญจพรรณในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังพบทั่วไปในแถบเอเชียอาคเนย์อีกด้วย ชาวฮินดูเรียกสะเดาว่า “นิมะ” ซึ่งหมายถึง สะเดาอินเดีย เป็นสะเาดคนละชนิดกับสะเดาไทย แต่สรรพคุณใกล้เคียงกัน มีปรากฏอยู่ในพุทธประวัติว่า ในพรรษาที่ 11 พระพุทธเจ้าได้จำพรรษาภายใต้ต้นจิมมันทพฤกษ์ ซึ่งก็คือไม้สะเดา(อินเดีย) นั่นเอง
อีกทั้งทางคติอินเดียยังเชื่อว่า หากผู้ใดนอนใต้ต้นสะเดาแล้วโรคภัยไข้เจ็บจะหาย ที่เป็นดังนี้เพราะสะเดาคายน้ำออกมาจะมีสารระเหยบางชนิดที่มีคุณสมบัติปรุงยารักษาโรคได้ ส่วนต่างๆของต้นสะเาดมีรสขม สามารถนำมาทำยาได้ เข้าตำราของไทยที่ว่า ขมเป็นยา นอกจากนี้ สะเดามักขึ้นตามแนวราบโล่งซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ร้ายเช่นงู ไม่ชอบอยู่ นักเดินทางในสมัยโบราณจึงนิยมนอนค้างใต้ต้นสะเดา เพราะราบโล่ง โปร่ง และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งปวง คนไทบโบราณนิยมปลูกสะเดาไว้ตามบ้านเรือน เพราะค้นพบคุณประโยชน์มากมายของต้นสะเดา ทั้งปลูกง่าย โตเร็ว ทนทาน และให้ร่มเงา สะเดาจึงถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่า หากปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านจะช่วยป้องกันโรคร้าย ส่วนกิ่งและใบของต้นช่วยป้องกันภูตผีปีศาจมิให้มารังควาน สะเดาไทยเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน ปลูกเพื่อเป็นมงคลประจำจังหวัดสิงห์บุรีและอุทัยธานี
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของไทย ยกเว้นภาคใต้