กาหลง

ชื่ออื่น: เสี้ยวดอกขาว, เสี้ยวน้อย (เหนือ), กาแจ๊ะกูโด (นราธิวาส)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Bauhinia acuminata Linn.

ชื่อวงศ์: CEASALPINIACEAE

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 เมตร

ใบ: ใบเดี่ยวทรงกลม ปลายจักเว้าลึกพันเข้าหากัน ออกเรียงสลับกัน

ดอก: ดอกช่อละ 5-8 ดอก ทยอยบานไล่กันไป กลีบดอกสีขาว 6 กลีบ

ผล: เป็นฝักแบนยาว

นิเวศวิทยา: เกิดตามป่าเบญจพรรณทั่วไป

การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และกิ่งตอน

สรรพคุณ:

  • ดอก รสสุขุม แก้ปวดศีรษะ ลดความดันโลหิต แก้เสมหะพิการ แก้เลือดออกตามไรฟัน

กาแฟ

ชื่ออื่น: Arabica Coffee, Liberica Coffee, Robusta Coffee

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Coffee arabica Linn., C. Liberica., C. robusta Linn.

ชื่อวงศ์: RUBIACEAE

เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม

ลำต้น: ลำต้นสูงประมาณ 2 เมตร

ใบ: ใบเดี่ยวรูปรี หัวท้ายแหลม สีเขียวเข้ม ขอบใบเป็นคลื่น

ดอก: ดอกช่อเป็นกระจุก 3-7 ดอก สีขาวตามข้อ มีกลิ่นหอม

ผล: ผลกลมเล็ก เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีส้มแดง มี 2 เมล็ด ให้ผลผลิตต้นละ 2-5 กิโลกรัม

สรรพคุณทางสมุนไพร:

  • เมล็ด รสขม บำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ชูกำลัง แก้อ่อนเพลีย กระตุ้นประสาทส่วนกลาง กระตุ้นหัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ ขับปัสสาวะ แก้พิษที่ไปกดระบบประสาทส่วนกลาง
  • ในเมล็ดกาแฟมี caffeine, trigonellin, แทนนิน, กลูโคส, เดกซ์ตริน, ไขมัน และโปรตีน

นิเวศวิทยา: เกิดตามพื้นที่แถบร้อนชื้น สามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ปลูกมากในภาคใต้

 

กระทุ่มเลือด


เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ต้นเหมือนกระทุ่มใหญ่

ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ยาวประมาณ 10 ซม.

ดอก : ช่อดอกย่อยทรงกลม คล้ายดอกกระถิน สีเหลืองปลายขาว เมื่อสับดูที่เปลือก จะมีน้ำยางสีแดงเหมือนเลือด

สรรพคุณทางสมุนไพร : เปลือก รสฝาดร้อน ฆ่าพยาธิ แก้บาดแผลมีเชื้อ แก้มะเร็งคุดทะราด แก้บิดมูกเลือด

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธ์ด้วยเมล็ด

นิเวศวิทยา : เกิดอยู่ตามป่าดิบเขา และ ป่าเบญจพรรณ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

กระท้อน(Yellow Sentol)


ชื่ออื่น : สะท้อน, หมากต้อง (อีสาน), สะโต, สะตู (ใต้)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Sandoricum nervosum Car.

ชื่อวงศ์ : MELIACEAE

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่

ใบ : ใบประกอบ มีใบย่อยขนาดใหญ่ 3 ใบ ใบแก่สีแดง

ดอก : ดอกเล็ก สีเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อ

ผล : ผลทรงกลมสีเหลืองเปลือกหนา

เมล็ด : มีเนื้อสีขาวหุ้มเมล็ด

สรรพคุณทางสมุนไพร :

  • ใบ รสเปรี้ยวเย็นฟาด ขับเหงื่อ ต้มอาบแก้ไข้
  • เปลือกต้น รสเปรี้ยวเย็นฟาด รักษาโรคผิวหนัง
  • เปลือกผล รสเปรี้ยวเย็นฟาด เป็นยาสมาน
  • ราก รสเปรี้ยวเย็นฟาด แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้รากสาด

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและกิ่งตอน

นิเวศวิทยา : เกิดตามป่าในเขตร้อนทั่วไป

กระท่อม


ชื่ออื่น : อีถ่าง, กระทุ่มโคก, ท่อม, กระทุ่มพาย (ใต้)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Mitragyna speciosa Benth.

ชื่อวงศ์ : RUBIACEAE

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 10-15 เมตร

ใบ : เป็นใบเดี่ยวรูปไข่ปลายแหลม คล้ายใบกระดังงาไทย มีทั้งชนิดสีแดง และสีเขียว

ดอก : ช่อดอกอัดแน่นทรงกลม คล้ายดอกกระถิ่น มีเกสรคล้ายดอกกระถิน สีเหลืองแก่ พบมากภาคใต้และภาคกลาง เป็นพืชเสพติดให้โทษ

สรรพคุณทางสมุนไพร :

  • ใบ รสขมเฝื่อนเมา แก้บิด ปวดเบ่ง แก้ท้องร่วง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ระงับประสาท ทำให้ทนต่อแสงแดด แต่แพ้อากาศครื้มฟ้าครื้มฝน จะหนาวสั่น ทำให้ก้าวร้าว ดุดัน

พิษ : เป็นยาเสพติด ทำให้รู้สึกสบาย ขยันว่องไว ทำงานได้นานๆ โดยไม่สนใจแดดแตะจะกลัวฝน เมื่อเสพไปนานๆ จะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวดำเกรียม โดยเฉพาะที่บริเวณโนกแก้มทั้งสองข้าง น้ำลายแห้ง ปัสสาวะบ่อย ท้องผูกอุจจาระสีดำ เป็นก้อยคล้ายขี้แพะ จิตสับสน ประสาทหลอน ใช้เกินขนาด จะทำให้มึนงง คอแห้ง มึนเมา อาเจียน ถ้าติดยาแล้วหยุดทันที จะทำให้มีอาการ น้ำมูกไหล เจ็บตามกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแขนขากระตุก ก้าวร้าว

กระดังงา


ชื่ออื่น : กระดังงาไทย, กระดังงาใหญ่, สะบันงา (เหนือ)

ชื่ออังกฤษ : Perfume Tree, Llang-Llang, Ylang, Kenanga

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cananga odorata (Lam.) Hooker f. & Thoms.

ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ เปลือต้นสีเทาเกลี้ยง

ใบ : คล้ายใบของต้นเล็บมือนาง สีเขียวอ่อนบางนิ่มปลายแหลมโคนมนกลม

ดอก : เป็นกลีบยาวอ่อน มี 6 กลีบ ขอบหยักเป็นคลื่น กลีบชั้นในสั้น ดอกอ่อนสีเขียว พอแก่จะเป็นสีเเหลืองอ่อนกลิ่นหอมฉุน

สรรพคุณทางสมุนไพร :

  • เปลือกต้น รสฝาดเฝื่อน ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย
  • เนื้อไม้ รสขมเฝื่อน ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ
  • ดอก รสหอมสุขุม บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ
  • น้ำมันหอม ใช้ปรุงน้ำหอมชั้นสูงที่มีราคาแพง ใช้ปรุงขนมและอาหาร

กราย


ชื่ออื่น : ขี้อาย (เหนือ), หางกาย, หนามกราย, หนามกราย (โคราช), แนอาม (เหนือ), ตานแดง (ใต้), แสนคำ (อีสาน)

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Terminalia triptera Stapf.

ชื่อวงศ์ : COMPOSITAE

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง

ใบ : เป็นใบเดี่ยว สีเขียวทึบ

ดอก : เป็นช่อ อยู่ปลายกิ่ง

สรรพคุณทางสมุนไพร :

  • รสฝาด กล่อมเสมหะ กล่อมอาจม คุมธาตุ แก้อุจจาระเป็นพอง สมานบาดแผล
  • ลูก รสฝาด แก้บิด ปวดเบ่ง เสมหะเป็นพิษ แก้ท้องเดิน

นิเวศวิทยา : เกิดตามป่าดงดิบและป่าเบญจพรรณทั่วไปในภาคกลาง, อีสานและเหนือ

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือตอนกิ่ง

 

ติ้วเกลี้ยง


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cratoxylum cochinchinense (Lour.) Bl.

ชื่อวงศ์ : CLUSIACEAE (GUTTIFERAE)

ไม้ต้นผลัดใบ สูงได้ถึง 30 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีเหลือง ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลมปกคลุมห่าง ๆ

ใบ : รูปรืออกตรงข้ามกัน แผ่นใบบาง ยอดใบอ่อนมีสีแดงเรื่อ หลังผลัดใบจะผลิดอกเป็นกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่วงฤดูฝน

ดอก : กลีบดอกมี 5 กลีบ สีชมพูอมแดง มีเกสรเพศผู้จำนวนมากและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลเมื่อแก่จะแตกออกเป็น 3 พูด

เมล็ด : มีปีกบาง ๆ

ประโยชน์ : ยอดอ่อนกินเป็นผักสดกับน้ำพริก ลาบ หรือใส่ในซ่าผักของชาวเหนือรสฝาดมัน มีมากในฤดูร้อน แต่เป็นคนละชนิดกับผักติ้วที่มีใบมันรสเปรี้ยว

สรรพคุณทางสมุนไพร : ด้านสมุนไพร ต้นและรากนำมาผสมกับต้นกำแพงเจ็ดชั้น ต้มน้ำดื่มแก้กระษัย และเป็นยาระบาย ใบและยอดอ่อนมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ เนื้อไม้ใช้ทำฟืน

การขยายพันธุ์ : ติ้วเกลี้ยงชอบดินร่วน ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง แสงแดดจัดชอบอากาศเย็น ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เป็นพืชที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี จึงเหมาปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะให้ดอกสวย มีกลิ่นหอม

นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในธรรมชาติพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้นทุกภาคของไทย

มะไฟ (Burmese grape)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Baccaurea ramiflora Lour.

เป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 15 เมตร

ใบ : รูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม ออกเวียนสลับรอบกิ่ง

ดอก : ช่อดอกออกเป็นกระจุกตามกิ่ง ห้อยลง ดอกชีชมพูอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลิบานช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม

ผล : ค่อนข้างกลม ก้านช่อผลสีแดงเรื่อ เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อหุ้มเมล็ดนุ่ม

เมล็ด : สีชมพู

ชื่อวงศ์ : Phyllanthaceae

ประโยชน์ : ชาวใต้นิยมกินผลอ่อนสีเขียวทั้งผลเป็นผักกับน้ำพริกและอาหารรสจัดต่าง ๆ รสเปรี้ยวอมฝาด ส่วนผลสุกกินเป็นผลไม้พื้นบ้าน รสเปรี้ยวอมหวาน มีมากในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ปัจจุบันมีสองพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า มีรสหวานอมเปรี้ยว คือ พันธุ์ไข่เต่า และพันธุ์เหรียญทอง ให้รสหวานกว่าพันธุ์พื้นบ้าน

สรรพคุณทางสมุนไพร : มีสรรพคุณช่วยลดความดันเลือดและลดอุณหภูมิของร่างกาย รากแก้วัณโรค แก้ไข้ เริม และแผลพุพองอื่น ๆ ใบแก้กลากเกลื้อน ขับพยาธิ ดอกและผลช่วยถอนพิษไข้และขับระดู

การขยายพันธุ์ : มะไฟชอบดินร่วน ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง แสงแดดตลอดวัน ชอบอากาศเย็น ความชื้นในอากาศสูง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด นิยมปลูกเป็นไม้ผลในสวนหลังบ้าน ให้ร่มเงาได้ดี

นิเวศวิทยา : กระจายพันธุ์แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในไทยพบตามป่าดิบชื้นและป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาค

มะดัน (Garcinia schomburgkiana Pierre)


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia schomburgkiana Pierre.

เป็นประเภทไม้ยืนต้น อายุหลายปี เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม

ใบ : รูปขอบขนาน ออกตรงข้ามกัน สีเขียวเข้มเป็นมัน

ดอก : ออกตามซอกใบ มีทั้งดอกเพศผู้และดอกสมบูรณ์เพศในต้นเดียวกัน สีชมพูเรื่อ มีกลีบดอก 4 กลีบ ผลิบานในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน และช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม

ผล : รูปรี สีเขียวเป็นมันฉ่ำน้ำ เมื่อสุกมีสีเหลืองอ่อน เนื้อนุ่ม ภายในมีเมล็ดรูปไข่แบน

ชื่อวงศ์ : GUTTIFERAE

ประโยชน์ : ยอดอ่อนมีรสเปรี้ยว กินเป็นผักสด ผลอ่อนใช้ปรุงอาหาร ให้รสเปรี้ยวแทนมะนาวหรือมะขามเปียก เช่น น้ำพริกมะดัน แกงส้ม ต้มยำ ยำต่าง ๆ หรือกินเป็นผลไม้จิ้มกับน้ำปลาหวาน กะปิ หรือนำมาแซ่อิ่ม ดองกินเป็นของว่างได้ มีมากช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม และเมษายนถึงมิถุนายน

สรรพคุณทางสมุนไพร : รากแก้ไข้ที่มีผื่นคัน แก้ร้อนใน เปลือกต้นแก้ท้องเสีย ห้ามเลือด หรือใช้ล้างแผล ยอดอ่อนและผลเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยฟอกเลือด ขับเสมหะ แก้โรคลักปิดลักเปิด ส่วนรกมะดัน (คือกิ่งก้านที่แตกเป็นกระจุกเล็ก ๆ ใต้พุ่มใบ) นำมาตากแห้งชงน้ำดื่ม แก้หวัด แก้ไข้ทับระดู ช่วยฟอกเลือด กัดเสมหะ ตามตำรายาพื้นบ้าน ใช้เปลือกต้นผสมกับต้นเล็บแมว ตับเต่าโคก กำแพงเจ็ดชั้น รากส้มลม และต้นกะเจียน ต้มน้ำดื่มแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย

การขยายพันธุ์ : มะดันชอบดินร่วน ระบายน้ำดี ชุ่มชื้น ตามริมน้ำ มีแสงแดดครึ่งวันถึงตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยการแยกต้นที่แตกจากรากมาปลูกใหม่ หรือเพาะเมล็ด แต่โตช้า มั่นตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอจะให้ทรงพุ่มที่สวยงาม

นิเวศวิทยา : กระจายพันธุ์ในแถบคาบสมุทรมลายู พบตามป่าดิบแล้งริมน้ำหรือพื้นที่ชุ่มชื้นในทุกภาคของไทย