ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง มีเปลือกเรียบ เนื้อไม้หยาบอ่อน สีขาวมีเสี้ยน ใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม เรียบเป็นมัน ดอกช่อเล็กๆ ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ กลีบดอกย่อย มี 5 กลีบ สีเหลืองงอมขาวดก กลิ่นหอมฉุน ผลแบนรูปรี เกิดอยู่ตามป่าดงดิบชื้น มีมากทางภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรี, ตลาด, สระแก้ว ฯลฯ ปัจจุบันมีสวนเกษตรของเอกชน ทำการเพาะกล้าไม้กฤษณาขาย ราคาตั้งแต่ 24-300 ตามขนาดกล้า ไม้กฤษณาในปัจจุบันในประเทศมีน้อยมาก ต้องนำเข้าจากเขมร, ลาว, เวียดนาม กฤษณา ที่ใช้ปรุงยากันถ้าอย่างดีก็มีแก่นสารสีเข้มติดบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเนื้อไม้ที่มีสำน้ำตาลเข้มถึงดำกลิ่นหอมนั้นราคากิโลกรัมละหลายหมื่นบาทเราส่งนอกหมด เนื้อไม้หอกเกิดจาก การที่ต้น กฤษณาได้รับบาดเจ็บ อาจเกิดจากแมลงหรือการตัดฟัน ทำให้มีการขับสารน้ำมันหอมออกมาพอกตรงรอยบาดแฟลเมื่อนานเข้าจะหนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เปลี่ยนจากเนื้อไม้ที่เบา หนักมากขึ้น บางต้นเกิดเป็นแท่งใหญ่บางต้นไม่มีเลย ต้นกฤษณาตามธรรมชาติ ไม่ได้ให้เนื้อไม้หอมเหมือนกันทุกต้น สมัยก่อนมีการตัดฟันต้นกฤษณาทิ้งไว้ค้างปี เมื่อเนื้อไม้ผุจะมาเก็บหาเนื้อไม้หอมไปขาย ชาวฮินดูนิยมนำมาจุดไฟให้กลิ่นหอม
ใบ : เดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่กลับ โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ใบเป็นมัน
ดอก : มีขนาดเล็ก ออกเป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง สีขาว ยามออกดอกตกเต็มต้น ให้กลิ่นหอมฉุนมาก
ผล : รี ปลายมน เปลือกแข็ง
เนื้อไม้ : สีขาวนวล ไม่มีกลิ่นหอม ต่อเมื่ออายุของต้นกฤษณามากกว่า 20 ปีขึ้นไปจึงเกิดเชื้อราขึ้นในเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีสีเข้ม และเมื่ออายุของต้นกฤษณาถึง 50 ปีเมื่อไร เมื่อนั้นจะได้กลิ่นหอมของกฤษณาทั้งต้น
วิธีการปลูกและดูแลรักษา : กฤษณามักขึ้นตามที่ชุ่มชื้นในป่าดงดิบ ตามแนวป่า ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มากเหมือนผลไม้ แต่กว่าจะโตจนนำมาใช้ประโยชน์และผลิตสารหอมได้ต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป
ชื่อวงศ์ : Thymelaeaceae
สรรพคุณทางสมุนไพร : เนื้อไม้ ที่มีคุณภาพดีต้องมีกลิ่นหอม เนื้อไม้เป็นสีดำเข้ม จึงนำมาใช้ทำยาแก้อาเจียน ท้องร่วง วิงเวียนศีรษะ แก้กระหายน้ำ แก้ปวดตามข้อ แก่นไม้ ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต รักษาโรคลม หน้ามืด บำรุงตับและปอดให้แข็งแรง เมล็ด นำมาสกัดน้ำมัน แก้โรคมะเร็ง โรคเรื้อน คนในแถบมลายูใช้ไม้กฤษณาหอมเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและใช้รักษาโรคผิวหนังหลายชนิด ชาวฮินดูใช้ผงไม้หอมกฤษณาโรยบนเสื้อผ้าหรือบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา ตำราจีน กฤษณาจัดเป็นยาชั้นดี บำรุงหัวใจ แก้หอบหืด เสริมสมรรถภาพทางเพศ แก้โรคปวดบวมตามข้อ รักษาโรคกระเพาะอักเสบ ขับลม ชาวยุโรปใช้ไม้กฤษณามาปรุงแต่งทำน้ำหอม ชาวอาหรับนิยมใช้น้ำมันหอมจากกฤษณาทาตัวเป็นเครื่องประทินผิว ป้องกันแมลงกัดต่อย ส่วนกากที่เหลือนำไปทำธูปหอมหรือยาหอม
ต้นไม้สัญลักษณ์ : คำว่า “กฤษณา” มีความหมายเกี่ยวข้องถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องสูงและเทพเจ้าในศาสนาฮินดู เนื่องจากเป็นชื่อชายาของปาณฑพทั้งห้าในมหากาพย์ มหาภารตยุทธ บางตำรากฤษณาหรือกฤษณะยังหมายถึง “ดำ” และมีความหมายถึงชื่อของพระกฤษณะ กฤษณาเป็นไม้พื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ไม้กฤษณาเป็นไม้เนื้อหอมที่เลื่องชื่อในบรรดาพรรณไม้หอมทั้งหมดและมีคุณภาพดีที่สุด คือ สีดำสนิท หนัก และจมน้ำ เมื่อเผาแล้วเกิดกลิ่นหอม สูดดมแล้วเกิดกำลังวังชา และถือเป็นไม้มงคงในพิะ๊กรรมของศาสนาอิสลาม ในสุเหร่าหรือตามบ้านอภิมหาเศรษฐี หรือใช้ต้อนรับแขกพิเศษ
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นำเมล็ดที่เก็บมาใหม่ๆ เพาะในกระบะทรายโดยเอาหัวขึ้น รดน้ำเช้า – เย็น เมล็ดจะงอกใน 1-2 สัปดาห์ การงอกของเมล็ดจะงอกได้ดี เมื่อเพาะเก็บมาไม่เกิน 1 สัปดาห์ และจะลดลงไปเรื่อยๆ อาจไม่งอกเลย ในระยะ 1 เดือน เมื่อกล้าไม้โตพอควร จึงย้ายลงถุงย้ายไปไว้ในเรือนเพาะชำที่มีแดดรำไร เมื่อกล้าตั้งตัวดีแล้วย้ายไปปลูก หรือเปลี่ยนถุงชำตามขนาดของกล้า เก็บไว้ปลูก การปลูกจะต้องเตรียมดินให้สามารถรักษาความชื้นไว้ได้ดี เพราะกฤษณา เป็นพืชที่ชอบความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ ระยะต้นห่างกันประมาณ 2-4 เมตร และให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม