ประทัดไต้หวัน (Coloradillo, Fire Bush, Scarlet Bush)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Hamelia patens Jacq.

ชื่ออื่น พวงประทัด, ประทัดฟิลิปปินส์, ประทัดทอง, ประทัดเล็ก

ไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 1-2 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม กิ่งก้านมีสีน้ำตาลแดงเรื่อ

ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวอมเหลือง เป็นมัน

ดอก : ช่อดอกเป็นช่อกระจุกตามชอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีส้มอมแดง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบเล็ก ปลายแยก 4 แฉกเล็ก ๆ ออกดอกเกือบตลอดปี

ผล : ผลสดแบบมีเนื้อรูปไข่ขนาดเล็ก เมื่อแก่มีสีดำ มีเมล็ดจำนวนมาก

ชื่อวงศ์ : Rubiaceae

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้สวน สามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้ดี จึงนิยมมาปลูกเป็นแนวรั้ว เกาะกลางถนน ริมทางเดิน บังกำแพง ริมสระว่ายน้ำ และริมทะเล แต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง

นิเวศวิทยา : อเมริกาใต้

เข็มม่วง (Violet Ixora)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Pseuderanthemum graciliflorum (Nees) Ridl.

ไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 1-1.5 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก ทรงพุ่มแน่นทึบ

ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวสด เป็นมัน เส้นใบสีเขียวเข้ม

ดอก : ช่อดอกเป็นช่อกระจะออกที่ปลายกิ่ง ใบประดับสีเขียวเข้ม ดอกสีฟ้า อมม่วงหรือม่วง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กยาว ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สองกลีบบนติดกันเป็นคู่ และมีขนาดเล็กกว่าสามกลีบล่าง ตรงกลางมีจุดแต้มสีขาว

ชื่อวงศ์ : Acanthaceae

ประโยชน์ : เหมาะปลูกลงแปลงประดับสวน ริมน้ำตก ลำธาร สระว่ายน้ำ สามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้ใบจะร่วงหากถูกน้ำท่วมขังและได้รับแสงแดดจัด

นิเวศวิทยา : อินเดีย, เข็มม่วงเป็นพันธุ์ไม้ป่าของเมืองไทย พบตามป่าชื้น ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลไปจนถึงระดับความสูงประมาณ 500 เมตร ส่วนมากมักพบขึ้นอยู่ตามป่าทางภาคใต้ของไทย

เข็ม (Ixora)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ixora chinensis Lamk. Ixora spp.

ไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 0.5 – 2 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก ทรงพุ่มแน่นทึบ

ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ใบมีหลายแบบ ทั้งรูปรี รูปขอบขนาน และรูปกลม ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน

ดอก : ช่อดอกแน่นเป็นช่อกระจุก ออกที่ปลายยอด โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวเล็กปลายแยกเป็น 4 กลีบ มีหลากสีพันธุ์ เช่น สีแดงอมส้ม ชมพู และขาว(เข็มขาว) ให้ดอกดก และออกดอกตลอดปี

ชื่อวงศ์ : Rubiaceae

ประโยชน์ : นิยมปลูกเป็นแนวรั้วเตี้ย ๆ หรือปลูกชิดกำแพงเพื่อบังสายตาได้ดีและตัดแต่งเป็นรูปทรงต่าง ๆ แต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง

สรรพคุณทางสมุนไพร : รากมีรสหวานใช้รับประทานแก้โรคตา เจริญอาหาร, ใบใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ, ดอกแก้โรคตาแดง ตาแฉะ, ผลแก้โรคริดสีดวงในจมูก

ต้นไม้สัญลักษณ์ : คนไทยโบราณเชื่อกันว่า ปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน เพราะเข็มเป็นตัวแทนของความแหลมคมเป็นตัวแทนของความเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงนิยมใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม นอกจากนี้ยังใช้ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนา ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย

นิเวศวิทยา : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขิงแดง (Red Ginger)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Alpinia purpurata (Vielle.) Schum.

ไม้พุ่มขนาดกลาง สูงราว 0.7 -1.5 เมตร แตกกอเป็นพุ่มแน่น มีลำต้นเป็นเหง้าทอดเลี้อยอยู่ใต้ดิน

ใบ : เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนเกลี้ยง สีเขียวเป็นมัน มีเส้นใบขนานกัน

ดอก : เป็นช่อเชิงลดออกที่ปลาย ยอด ยาว 10 -20 เซนติเมตร แต่ละช่อมีใบประดับ (Bract) สีแดงซ้อนกัน ดอกรูปกรวย ออกจากชอกกาบรองดอก ออกดอกตลอดปี ส่วนดอกที่ติดบนช่อสามารถเจริญเป็นต้นใหม่ได้

ผล : แห้งแตก รูปทรงกลมถึงรูปไข่

ชื่อวงศ์ : Zingiberaceae

ประโยชน์ : เหมาะปลูกมุมอาคาร บังกำแพง ริมลำธาร น้ำตก ปลูกริมถนน ทางเดิน สระว่ายน้ำ ริมทะเล เพราะสามารถทนน้ำท่วมได้ดี

สรรพคุณทางสมุนไพร : ส่วนหัวมีกลิ่นหอม มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยขับลมและกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำใส้

นิเวศวิทยา : แถบหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ นิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะโซโลมอน และวานูอาตู

น้อยหน่า (Sugar apple)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Annona squamosa Linn.

ชื่ออื่น ลาหนัง (ปัตตานี) , หน่อเกล๊ะแซ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) , มะออจ้า, มะโอจ่า (เงี้ยว-เหนือ) , เตียบ (เขมร),น้อแน้ (ภาคเหนือ), บักเขียบ (อีสาน)

เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่ม มีอายุหลายปี ประเภทไม้เนื้ออ่อน ลำต้นสีเทาอมดำ เปลือกต้นเป็นสมุนไพรรสร้อน

ใบ : โตกว้าง 3-6 ซม. ยาว 7-13 ซม.ผู้ใหญ่หรือโตกว่า แล้วแต่ขนาดและความสมบูรณ์ ใบสีเขียว กลิ่นฉุน ใบรสร้อน เป็นพิษต่อดวงตาของคนและสัตว์

ดอก : สีเหลืองแกมเขียว 6 กลีบ เรียง 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ กลีบดอกหนา อวบ สีเขียวอ่อน

ผล : กลมเปลือกมีลักษณะคล้ายรูปทรง 5 เหลี่ยมขรุขระสีเขียว ข้างในมีเนื้อสีขาว เมล็ดสีดำเงาอยู่รวมกันหลายเมล็ด ลักษณะคล้ายหยดน้ำ มีรสร้อนเป็นพิษต่อดวงตา หิด และเหา

ชื่อวงศ์ : Annonaceae

ประโยชน์ : ยอดน้อยหน่าอ่อน สามารถนำไปประกอบอาหารประเภทแกงอ่อม แกงใบน้อยหน่าทำเหมือนแกงใบยอ ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้ได้ มีรสหวาน ใบสดและเมล็ดน้อยหน่าใช้ฆ่าเหา และ โรคกลากเกลื้อน รากใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน และแก้พิษงู ถอนพิษเบื่อเมา

สรรพคุณทางสมุนไพร : ใบตำให้แหลกทาแก้กลากเกลื้อน ทั้งใบและเมล็ดมีสารสควาโมซิน (squamocin) และสารแอลคาลอยด์ (alkaloid) ที่มีฤทธิ์ฆ่าแมลง จึงใช้กำจัดเหาได้ โดยนำใบสดและเมล็ดมาบดให้ละเอียด คั้นน้ำ แล้วผสมกับน้ำมันมะพร้าว ใช้ชโลมผม ทิ้งไว้ 1 – 2 ชั่วโมง ระวังอย่าให้เข้าตา เพราะจะทำให้ตาอักเสบ ให้หวีถี่ ๆ (หวีเสนียด) สางออก แล้วสระผมให้สะอาด นอกจากนี้เนื้อในเมล็ดยังใช้ขับพยาธิตัวจี๊ดได้ ในต่างประเทศใช้แก้ไขมาลาเรีย

การขยายพันธุ์ : น้อยหน่าชอบดินร่วน แสงแดดตลอดวัน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ติดตา หรือเสียบยอด เมื่อเริ่มติดผลต้องระวังเพลี้ยแป้งเข้าทำลาย เพราะอาจทำให้ผลแกร็น และโรคมัมมี่ที่ทำให้ผลมีสีดำแห้งคาต้น

นิเวศวิทยา : อยู่ในแถบอเมริกากลาง และใต้ แต่จะพบอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ

พิมเสน (Patchouli)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Pogostemon cablin (Blanco) Benth.

เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุสั้น ลำต้นเป็นเหลี่ยมปล้อง มีร่องตรงกลางคล้ายต้นงาเหง้าแก่ ตรงโคนต้นสีขาวปนเทาเป็นปล้อง ข้อยาวประมาณข้อมือเศษ โตประมาณนิ้วมือหรือปากกาสูงเมตรเศษ ปลายกิ่งส่วนยอดสีเทาปนดำ มีขนสั้น

ลำต้น : ตัดเป็นท่อนมีลักษณะเป็นปล้องโตประมาณปากกา ปล้องสั้น ๆ ขนาดข้อมือข้อนิ้ว ลำต้นส่วนเหง้ากลม ส่วนที่อยู่เหนือดินประมาณ 1 – 2 ฟุตจะเริ่มเป็นเหลี่ยม ส่วนของยอดสีเขียวปนเทาอมน้ำตาล

ใบ : มีขน ขอบใบหยัก ใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นเป็นคู่ ในต้นเดียวกันใบไม่เหมือนกัน ปลายใบแหลมบ้างมนบ้างขอบใยหยักบ้างเว้าบ้าง หยักฟันเลื่อยบ้าง โตราวสามนิ้วถึงฝ่ามือ ใบเป็นขนคล้ายใบสาบเสือ หรืออีเทิน การสับรวม ให้สังเกตว่าเป็นไม้เนื้ออ่อน เนื้อไม้เบาคล้ายต้นสาบเสือ คล้ายกิ่งกรรณิการ์ กลิ่นหอมอับ ๆ

ราก : เป็นรากฝอย ไม่มีรากแก้ว รากสีขาว

ชื่อวงศ์ : Labiatae

สรรพคุณทางสมุนไพร : ทั้งต้นรสจืดเย็น แก้ฝีด บาดแผล ขับลม ขับปัสสาวะ ใบเป็นยาเย็น ถอนพิษร้อน ถอนพิษไข้ และยาหอม

นิเวศวิทยา : เป็นไม้ไทย ไม้ปลูกในกระถาง ตามสวนในบ้าน

ตีนเป็ดทราย


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cerbera manghas

ไม้พุ่ม สูง 4-6 เมตร เปลือกนอกสีน้ำตาล มีรอยแผลใบและเลนติเซลปรากฏอยู่จำนวนมาก มียางสีขาว

ใบ : เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับอยู่ที่ปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก ฐานใบสอบ ปลายใบแหลม หลังใบเป็นมันวาว เส้นแขนงใบแบบขนาน

ดอก : เป็นแบบช่อกระจุกแน่นออกที่ปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ คล้ายรูปดาว วงกลีบดอกสีขาว ตรงกลางดอกมีสีแดง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน

ผล : รูปไข่หรือรูปรี มักอยู่เป็นคู่ ผิวสีเขียวเป็นมัน เมื่อสุกเป็นสีม่วง แต่ละผลมี 1-2 เมล็ด

ชื่อวงศ์ : APOCYNACEAE

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ ผลมีความเป็นพิษสูงและก่อให้เกิด

ไข่เต่า


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Polyalthia debilis

ไม้พุ่ม สูง 1-2.5 เมตร กิ่งอ่อนมาขนสีน้ำตาลปกคลุม

ใบ : เรียงสลับ รูปไข่หรือรูปรี ปลายใบแหลมฐานใบสอบหรือมน เส้นใบ 12-14 คู่ ด้านหลังใบเป็นมัน ด้านท้องใบมีขนสีน้ำตาลปกคลุมตามเส้นใบ

ดอก : เดี่ยว หรือช่อกระจุก 2-3 ดอก ออกตรงข้ามใบหรือตามกิ่งและลำต้น

ผล : เป็นผลกลุ่ม รูปทรงกระบอก ผลย่อย 1-4 ผล ผลแก่สีเหลือง

ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ผลสุกรับประทานได้ มีรสหวาน

นิเวศวิทยา : พบกระจายทั่วไปในป่าดิบแล้งผสมเบญจพรรณในอุทยานฯ ดอกออกตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน

กระดุมผี


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Glochidion rubrum Blume

ชื่ออื่น กือนอง (มลายู-ภาคใต้), ขัดนะ (ตรัง), ตานา (หนองคาย)

ไม้พุ่มหรือไม้ต้น ขนาดเล็ก เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอมเทา กิ่งก้านห้อยย้อยลง

ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ออกเรียงสลับระนอบเดียวกัน แผ่นใบสีเขียว มีขนประปราย โคนใบมนหรือแหลม ปลายใบแหลม ขนาดใบกว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร

ดอก : ออกเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบ ดอกย่อยไม่มีกลีบดอก เป็นดอกไม้สมบูรณ์เพศ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่แยกกัน แต่อยู่ในต้นเดียวกัน ดอกมีสีเหลืองหรือส้ม

ผล แป้น เปลือกแข็ง เมื่อสุกเป็นสีแดงปละแตกออก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาล ออกดอกช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม

นิเวศวิทยา อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย พม่า อินโดจีน และมาเลเซีย

ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACWAE

มณฑา (Magnolita)


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Talauma candollei Blume

ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-3 เมตร เปลือกต้นเรียบสีเทา แตกกิ่งก้านสาขาไม่มาก

ใบ : เป็นใบเดี่ยวรูปรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยักหรือคลื่นเล็กน้อย

ดอก : ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกห้อยลง มีกลีบเลี้ยงหนาและแข็งสีเขียวอมเหลือง 3 กลีบ กลีบดอกสีเหลืองอ่อน 6 กลีบ เรียงเป็นชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ลักษณะกลีบเป็นรูปไข่กลับ มีเกสรตัวผู้และตัวเมียล้อมรอบเป็นวงอยู่ข้างในแกนกลาง

วิธีปลูกและดูแลรักษา : มณฑาออกดอกตลอดปี ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้นสูง ควรปลูกในที่ร่มที่มีแสงแดดรำไร ไม่ชอบแดดจัด ดูแลรักษาง่าย ไม่มีปัญหาเรื่องโรคหรือศัตรูพืช แต่โตช้า

ชื่อวงศ์ : MAGNOLIACEAE

ประโยชน์ : ดอก นำมาใช้อบผ้าหรือวางไว้ในตู้เสื้อผ้าให้กลิ่นหอม

ต้นไม้สัญลักษณ์ : เชื่อว่าดอกมณฑาเป็นดอกไม้บนสวรรค์และเป็นดอกไม้ทิพย์ประจำตัวนางกิริณีเทวี ธิดาของพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทวีประจำวันพฤหัสบดี ที่บันดาลให้ตกลงมายังโลกมนุษย์ คนโบราณจึงนิยมปลูกต้นมณฑาไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน เพราะเชื่อว่าดอกไม้ที่ตกลงมาจากสวรรค์จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ยิ่งเวลาดอกมณฑาบานจะมีสีเหลืองนวล หอมนาน งดงาม และมีเสน่ห์มาก บางคนเปรียบว่างามและหอมเหมือนตกลงมาจากสวรรค์จริงๆ

การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่งและเพาะเมล็ด

นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบมากทางภาคใต้ของไทย